พืชใดชนิดใดชนิดหนึ่ง อันหว่านไว้ อาศัยรสแห่งแผ่นดินและยางในพืชรวมกันเข้าทั้งสองอย่าง ย่อมงอกขึ้นในนา ข้อนี้ฉันใด ข้นธธาตุ อายตนะหก เหล่านี้ก็ฉันนั้น อาศัยเหตุเกิดขึ้น ย่อมดับเพราะสลายไปแห่งธาตุ (บาลีธรรมวิจารณ์ ) ฉะนั้นการเกิด, แก่, เจ็บ, ตาย, เบ็นกฎธรรมดาของชีวิตซึ่งธรรมชาติได้บัตญัติไว้ เป็นกฎธรรมตาที่มีอำนาจสูงสุดและเป็นสิ่งที่ ไม่มี ใคร จะหลีกเลี่ยงได้แต่การเกิด, แก่, เจ็บ, ตาย เป็นกฎธรรมดาที่ทำให้เศร้าเกินไป ไม่มีอะไรที่จะชวนให้เห็นความชื่นบานที่ไหนเลย ธรรมชาติบังคับให้เราปฏิสนธิมาในโลก กฎธรรมดาของธรรมชาติก็คือ เราจะต้องเบ็นเด็ก เป็นหนุ่ม เบ็นสาว เป็นคนชรา และในที่สุดก็บังคับให้เราตาย อันเป็นปลายทางที่เราได้เดินระหกระเหิ่นมาแล้ว กฏธรรมดาคอยแต่จะเปลี่ยนแปลงร่างกายเราอยู่เช่นนี้เสมอ เปลี่ยนสังขาร เปลี่ยนวงหน้า เปลี่ยนนิสัยให้ผิดแผกกว่าที่เคยเป็นมาแล้ว เปลี่ยนให้ได้รับความสุขเปลี่ยนให้ ได้รับความทุกข์ ดอกไม้ตูมบานสยายกลีน และเที่ยวแห้งร่วงหล่นหายไปสิ้น เช่นเดียวกับมนุษย์เราเหมือนกัน จะผิดกันก็แต่ว่าดอกไม้จะหอมได้ก็บางชนิดที่ธรรมชาติ ได้บัญญัติไว้ ให้หอมส่วนมนุษย์นั้นอาจจะหอมได้ทุกคน แต่มนุษย์นั้นจะหาความหอมมาสู่ตน ได้ก็โดยความประพฤติและผลบุญที่ ได้กระทำ ความดีงามของตนเองความตาย ปลายทางแห่งชีวิตอันระหกระเหินของมนุษย์ที่เกิดมา แต่ความตายนั้น คืออะไร เมื่อตายไปแล้วเราไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ ไหน ไปเป็นอะไรจะเป็นความมืดหรือความสว่างก็ไม่ทราบ เราไม่อยากตายและเรากล้วตาย ข้อนี้เพราะเราแก้บัญหาเหล่านี้ไม่ตก แต่ถ้าเราจะรู้แต่เพียงว่า ความตายเบ็นของธรรมดาหนี ไม่พ้น ซึ่งปรากฏอยู่ทุกวันนี้ เช่นเดียวกับความมืดของยามราตรี ปรากฎขึ้นเมื่อความสว่างของยามทิวาสลายหมุนเวียนเปลี่ยนกันไปซึ่งกฎธรรมกา การเกิด, แก่, เจ็บ, ตาย, เย็นวัตต คือละครโรงใหญ่ของพวกเรา พวกเรา คือตัวละคร ธรรมชาติหาเรามาเล่นผสมโรงกันชั่ววันหนึ่ง ๆ เท่านั้น เราจะเป็นคนมั่งมีหรือเป็นคนจน เมื่อวันล่วงไป คืนผ่านไป เหมือนดังละคร ฉะนั้นขณะที่ยังเล่นละครอยู่ในโลกนี้ เราก็ควรเล่นให้ดีที่สุดเราควรจะพยายามบำเพ็ญกุศลทำความดีงามให้เบ็นบรรทักฐานแก่มนุษย์ชาติ เมื่อละกรจะบีดม่านคือความตาย เราจะได้พักผ่อน นึกถึงความดีงามทั้งปวงที่ ได้ปฏิบัติมา ก็อาจจะสามารถบรรลุถึงมรรคผล นิพพาน ซึ่งเบ็นที่บริสุทธิ์เฉพาะตนตังพระพุทธนิพนธ์มีอยู่ว่า “ยทา ปญญาย ปสสสติ ฮถนิพพินฺทติ ทุกูเขเอส มคูโค วิสุทธิยา” เมื่อใดบัณฑิตย์เห็นอยู่ด้วยบัญญา ว่าสังขาร ทั้งหลายล้วนแต่ไม่เที่ยง ล้วนแต่เป็นทุกข์ (สภาวธรรมทั้งหลายล้วนแต่เบ็นอนตุตา) เช่นนี้ แล้ว เราควรรู้การปฏิบัติในการเกิด, แก่, เจ็บ, ตาย, ต่อไปดังนี้

ว่าด้วยการเกิด
เมื่อเด็กแรกคลอกจากครรภ์ บิดามารดาควรรีบจดบี, เดือน, วัน, เวลา, นาทีที่เด็ก ตกฟากไว้ให้ละเอียด เมื่อแพทย์ผดุงครรค์ได้ตัสายสะดือแล้ว จะต้องส่งให้กับผู้ที่บิดามารดา เด็กได้จัดเตรียมไว้ ซึ่งเห็นว่าผู้นั้นมีนิสัยและความประพฤติเป็นที่ถูกใจของบิดามารกาเด็กนั้น เหตุนี้ถือกันว่าเด็กนั้นจะมีนิสัยและศิลปเหมือนกับผู้ที่มารับอุ้มครั้งแรกนี้ ต่อนี้ไปก็การอาบนั้นเด็กเมื่อจะนำเด็กลงอ่างอาบน้ำ ต้องเอาเงินหรือท่องจะเป็นแหวนหรือสายสร้อย อย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้ ใส่ลงในอ่างน้ำ แล้วจึงอุ้มเด็กลงอาบเพื่อเบ็นเคลีก เชื่อกันว่าเมื่อเด็กนั้นเติบโตไปภายหน้าจะเบ็นผู้บริบูรณ์ ไปด้วยทรัพย์สินเงินทอง เมื่อไต้อาบน้ำแต่งตัวเด็กแล้วจึงนำเด็กนั้นลงนอนบนเบาะ ๆ นั้นจะวางบนโต๊ะทองเหลืองหรือถาดเงินถาดทองหรือกระต้งก็ได้ ถ้าเป็นเด็กหญิงก็ใส่ต้ายเข็ม ซึ่งเชื่อกันว่าจะให้บุตรถนัดในการเย็บบักถักร้อยวิชาการเรือน ถ้าเด็กเป็นชายก็ใส่กระดาษปากกาดินสอ ซึ่งเชื่อกันว่าจะให้บุตรชายนี้เป็นนักปราชญ์มีความรู้ปริญญาต่าง ๆ ส่วนรกนั้นต้องเอาใส่หม้อเอาเกลือใส่เก็บไว้ ภายหลังจึงนำไปผึ้งเมื่อเด็กมีอายุได้ ๗ ฉันไปแล้ว เพราะถือกันว่ายังไม่พ้น ๗ วัน ถ้าฝั่งรกจะมีพรอยกุมภัภัณฑ์มากินรก ครั้นกินแล้วจะกลับสามมากินเอาตัวมารดา จะทำให้เป็นอันตรายต่าง ๆ ขึ้นในเรือนไฟ แต่ในระหว่างเด็กมีอายุได้ ๓ วันควรที่บิดามารตาจะจัดการทำพิธีทำขวัญ ๓ วัน การจัดทำพิธีทำขวัญ ๓ วันมีพิธีปฏิบัติดังต่อไปนี้ ต้องทำบายศรีปากชาม ๑ สำรับเครื่องกระยาบวด ๑ สำรับ แบ้งหอม น้ำมันหอม กระแจะจันทน์ ไว้จณเขิม ข้าวสาร ๑ ขัน แว่นเวียนเทียน ๓ แว่น ชีพ่อพราหมณ์ ๓ นายสำหรับจะได้ทำพิธีนี้ พอถึงฤกษ์ที่โหรได้กำหนดเวลามาให้พราหมณ์ จะได้ลงมือทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน หนูน้อยต้องมีวงศ์ญาติ นั่งล้อมเบ็นวงกลม ช่วยกันรับแว่นเวียนเทียนออกซ้ายไปขวา พราหมณ์อีก ๒ คน เบ่าสังข์ตี ไม้บัณเฑาะว์เป็น ฤกษ์กันมลทิน เมื่อเวียนครบ ๓ รอบแล้ว พราหมณ์ ก็ดับเทียนอ่านพระเวทย์ทางไสยศาสตร์ ตบเทียนชัยโบกควันไฟให้เด็กเพื่อเจริญศรีสวัสดิ์วัฒนาเป็นการประสิทธิ์พรให้แก่เต็ก แล้วจึงเอาต้ายสายสิญจน์วาดบัดเคราะห์ โศกโรคภัยที่ตัวเด็กให้หายเสนียดจัญไรจงวินาศสันติข้างละ ๓ ทีแล้วเอาด้ายสายสิญจน์เสกต้วยพระเวทย์ผูกขวัญที่ข้อมือเต็กไว้ทั้งสองข้าง แล้วจึงให้พรเด็ก ให้มีอายุยืนนาน จงอยู่กับบิดามารดาจนแก่จนเฒ่าถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร แล้วเอากระแจะจันทน์เจิมเบ็นอุณาโลมที่หน้าผากเด็ก ประสาทพรให้ถาวรวัฒนาจงทุกประการ เมื่อพราหมณ์ ได้กระทำพิธีเสร็จแล้ว ท่านผู้ใหญ่ มี ปู่, ย่า, ตา, ยาย และวงศ์ญาติพี่น้องของเด็ก จะได้มาทำขวัญให้แก่เด็กด้วยก็ ได้ แล้วเจิมกระแจะจันทน์ ให้แก่เด็กนั้น ด้วยทุกคนตามลำดับไปกว่าจะครบญาติ และต่อไปนี้บิดามารดาก็ควรสังเกตและระวังเมื่อเด็กเกิดได้ ๗ วันไปถึง ๑ เดือนจะมี แม่ซื้อและผีรบกวน ตามคัมภีร์ปถมจินตาว่า ถ้าเด็กเป็นไข้มีอาการนอนสะตุ้งหลังร้อนบิดตัว ร้องไห้ ไม่หยุดหย่อน ให้ละเมอร้องไห้และหัวเราะมีอาการดังกล่าวมานี้เด็กนั้นต้องแม่ซื้อกวน จึงเป็นไข้ ถ้าจะแก้ท่านให้ทำบัตร ๔ มุม ใบหนึ่งใส่เครื่องมัฉมังสาหารทั้งปวง กับสุราและข้าวน้ำ แล้วจึงวางเครื่องบวงสรวงบนหัวนอนเต็ก แล้วบูชาด้วยพระคาถา ๓ จบ (ยโตหํ ภคินิ อริยาย ชาติยา ชาโต นาภิชานามิ สัญจิจุปาณิ ชีวิตา โวโรเปตา เตน สจุเจน โสตถิเต โหตุ โสตุถิตพูภสุส) ครั้นแล้วจึงเอาบัตรไปวางบวงสรวงที่ไว้รกหรือที่หลุมฝั่งรกนั้น เด็กนั้นจะมีความสุขความสบายตี ถ้าเต็กมีอาการท้องขึ้นและให้หน้าเขียวมือเย็น เท้าเย็น ให้ตาซ้อน เหลือบแลแต่เบื้องสูง ให้ชักเท้าทำมือกำ อาการดังกล่าวนี้ ท่านว่าเด็กนั้นต้องผีรกนั้นเอง
credit ภาพปก